การพัฒนาเว็บไซต์เป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร หน่วยงาน กิจกรรมหรือบุคคล ดังนั้นการออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้ชมเว็บเป็นหลัก คือ ไม่เกิดปัญหาการแสดงผลภาษาไทย โหลดได้เร็ว สืบค้นได้ง่าย รองรับกับเทคโนโลยีส่วนมากของผู้ชมเว็บ ฝ่ายบริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (STKS) ขอนำเสนอแนวปฏิบัติที่จำเป็นในการออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ ดังนี้
แนวปฏิบัติการพัฒนาเว็บไซต์สำหรับเว็บไซต์…..
ในสังกัด…
ประกาศ ณ วันที่ ….
หลักการและเหตุผล
การพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความนิยมในการเข้าถึงข้อมูลหรือใช้บริการต่างๆ ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้ระบบเครือข่ายในการนำเสนอข้อมูล หรือติดต่อสื่อสาร หรือประกอบธุรกรรมต่างๆ มากขึ้นตามไปด้วย
เพื่อให้การนำเสนอข้อมูลดังกล่าวของหน่วยงานมีคุณภาพสูง สวย ใช้งานได้ดี จาก Web browser ทุกชนิด รวมทั้งควรมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลงานทุกประเภทของหน่วยงาน และเป็น Search engine friendly คณะทำงานบริหารและพัฒนาเทคนิคเว็บไซต์จึงได้กำหนดรูปแบบแนวปฏิบัติของการจัดทำเว็บไซต์ ซึ่งสนับสนุนฟังก์ชันและพันธะกิจขององค์กร โดยเน้นที่ประสิทธิภาพ ความสอดคล้อง และการเข้าถึงโดยไม่แบ่งชนชั้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนผู้สนใจทั่วไป
นโยบาย
การจัดทำแนวปฏิบัติการพัฒนาเว็บไซต์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเว็บไซต์ที่สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย มีความสอดคล้องและความถูกต้องของข้อมูล และมีส่วนติดต่อกับผู้ใช้ที่สะดวก ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เข้าเยี่ยมชมและใช้งานเว็บต่างๆ ของหน่วยงาน สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการได้ตลอดเวลาและอย่างมีประสิทธิภาพ
ขอบเขตของการประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติ
แนวปฏิบัตินี้ประยุกต์ใช้กับหน่วยงานย่อยทุกหน่วยงานภายใต้หน่วยงาน และทุกเว็บไซต์ให้บริการต่างๆ ที่จัดทำขึ้นโดยหน่วยงาน แต่เพียงองค์กรเดียว และอยู่ภายใต้โดเมนเนม ….
แนวปฏิบัติ
- เว็บไซต์ควรจะสอดคล้องกับข้อกำหนดของ W3C สำหรับ Extensible HyperText Markup Language (XHTML) ระดับ 1.0 หรือ HTML ระดับ 4.0
- เว็บไซต์ควรจะสอดคล้องกับข้อกำหนดของ W3C ในเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์ให้ทุกคนเข้าถึงได้ (Web Content Accessibility Guidelines) ระดับ 1.0
- หากเว็บไซต์ใดใช้ Cascading Style Sheets (CSS) เว็บไซต์เหล่านั้นควรจะสอดคล้องกับข้อกำหนดของ W3C สำหรับ CSS ระดับ 1
- รายละเอียดของแนวปฏิบัติแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
- แนวปฏิบัติการตั้งชื่อไฟล์และ Directory เป็นการกำหนดวิธีการตั้งชื่อที่สื่อความหมาย เข้าใจตรงกัน สั้นกระชับ และไม่เกิดความสับสน ซึ่งจะช่วยให้ Search engine ให้ค่าความสำคัญของเว็บไซต์สูงสุด หากคำสำคัญพบเป็นชื่อไฟล์และชื่อ Directory โดยตรง รายละเอียดแสดงในเอกสารแนบ 1
- แนวปฏิบัติทางด้านเนื้อหา เป็นการกำหนดแนวปฏิบัติในส่วนของโครงสร้างข้อมูล หรือกรอบพื้นฐานของการนำเสนอเนื้อหา ที่แต่ละหน่วยงานหรือโครงการจะต้องนำเสนอบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต รายละเอียดแสดงในเอกสารแนบ 2
- แนวปฏิบัติทางด้านรูปแบบการใช้ภาษาบนเว็บ เป็นการกำหนดแนวปฏิบัติในส่วนของรูปแบบของการนำเสนอข้อมูลของเว็บไซต์ ให้มีรูปแบบเดียวกัน สามารถแสดงผลบนจอเป็นอักษรไทยหรืออักษรอังกฤษได้ถูกต้องกับ Web browser ทุกชนิด และการนำเสนอข้อมูลภาษาที่ถูกต้องตามหลักภาษา รายละเอียดแสดงในเอกสารแนบ 3
- แนวปฏิบัติทางด้านเทคนิค เป็นการกำหนดแนวปฏิบัติในส่วนของการเขียน HTML หรือส่วนของโค้ดที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นเว็บไซต์ที่ทุกคนเข้าถึงได้ รายละเอียดแสดงในเอกสารแนบ 4
- แต่ละเว็บย่อยภายใต้หน่วยงาน จะต้องแก้ไขเส้นเชื่อมที่เสีย (Broken Links) ให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ นับจากวันที่ได้รับแจ้ง และผู้ดูแลเว็บควรใช้เครื่องมือตรวจ Links ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ
- ทุกๆ หน้าเว็บ ควรจะแสดงข้อมูลต่างๆ (ยกเว้นหน้าเว็บอินทราเน็ต) ดังต่อไปนี้
- ข้อมูลติดต่อหน่วยงาน ได้แก่ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ และอีเมล
- เส้นเชื่อมกลับไปยังหน้าหลักของหน่วยงาน
- คำแถลงการณ์สงวนลิขสิทธิ์
คำจำกัดความ
- การโฆษณาประชาสัมพันธ์ – ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์ บริการ หรือการอบรมของหน่วยงาน และของ…
- เว็บไซต์ขององค์กรร่วม (Partners) – เว็บไซต์ขององค์กรอื่น ที่ทำกิจกรรมร่วมกับหน่วยงาน
- เว็บไซต์ย่อยของหน่วยงาน – เว็บไซต์ของหน่วยงานย่อยภายใต้สังกัดหน่วยงาน หรือเว็บไซต์ของบริการหรือโครงการที่บริหารจัดการโดยหน่วยงานย่อยภายใต้สังกัดหน่วยงาน
- หน้าเว็บ HTML – หน้าเว็บที่มีโค้ด HTML
- เว็บไซต์อินทราเน็ต – เว็บไซต์ที่เฉพาะพนักงานของหน่วยงาน เข้าถึงได้เท่านั้น
- เว็บไซต์ – กลุ่มของไฟล์เว็บ หรือกลุ่มของหน้าเว็บ
เอกสารแนบ 1 แนวปฏิบัติการตั้งชื่อไฟล์และ Directory
ข้อกำหนด
- ให้ใช้ตัวอักษรและตัวเลข โดยไม่มีเครื่องหมายวรรคตอนใดๆ ยกเว้นแต่ . และ – เท่านั้น (ไม่ใช้ space และ underscore “_” เพราะจะสร้างปัญหาเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของ URL) ตัวอย่าง grid-computing.sxw เป็นต้น
- ชื่อไฟล์ทุกชนิดที่ใช้บน Webpage ให้ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
- ชื่อไฟล์ของเอกสารแนบ
- ในการร่างเอกสารเป็นครั้งแรก ขอให้ใส่วันที่ไว้ข้างหน้า โดยรูปแบบของวันที่คือ yyyymmdd ตัวอย่าง 20050809-grid-computing.sxw เป็นต้น
- ในกรณีที่ในวันเดียวกันนั้น มีการแก้ไขและทบทวนออกมาอีก 2 versions ให้ตั้งชื่อไฟล์ใหม่ โดยเติมตัวเลขกำกับ version ต่อท้าย ตัวอย่าง 20050809-grid-computing-1.sxw และ 20050809-grid-computing-2.sxw เป็นต้น
- ในกรณีที่มีการแก้ไขและปรับปรุงในวันอื่นๆ ถัดมา ให้ตั้งชื่อใหม่ตามวันที่ ตัวอย่าง 20050818-grid-computing.sxw
- ในกรณีที่มีการแจกไฟล์ให้กับผู้เกี่ยวข้องพร้อมกันหลายคน และอาจจะต้องนำไฟล์ที่แก้ไขนั้นมารวมกันใหม่ ให้ผู้ที่อยู่ในทีมงาน ใส่ชื่อย่อของตัวเองต่อท้าย version และใช้ Track-change เพื่อให้สามารถมองเห็นส่วนที่แก้ไขได้ชัดเจน ทั้งนี้ทุกคนอาจใช้เลข version ใหม่ที่เป็นเลขเดียวกันได้
- ชื่อ Directory สำหรับการสร้างเว็บไซต์
- ให้ตั้งด้วยคำภาษาอังกฤษที่กระชับและสั้นที่สุด (ไม่ต้องใส่วันที่หรือคำขยายความใดๆ) เพื่อช่วยให้ Search engine ค้นหาพบโดยง่าย
- ในกรณีที่มีหลายคำ ให้ใช้ “-“ (Hyphen) เชื่อมระหว่างคำ ไม่ใช้ช่องว่าง (Space) หรือ “_” Underscore
เอกสารแนบ 2 แนวปฏิบัติทางด้านเนื้อหา
ข้อกำหนด
เว็บไซต์จะต้องนำเสนอเนื้อหาตามคู่มือมาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ
เอกสารแนบ 3 แนวปฏิบัติทางด้านรูปแบบการใช้ภาษาบนเว็บ
ข้อกำหนด
หน่วยงานจะต้องนำเสนอข้อมูลโดยมีรูปแบบของการนำเสนอข้อมูล และการแสดงผลภาษาดังต่อไปนี้
- ในการนำเสนอข้อมูลในแต่ละหน้าจะต้องมี Header และ Footer ของเว็บหน่วยงานใส่อยู่เสมอ ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วยข้อมูลดังต่อไปนี้
- Header จะต้องประกอบด้วย โลโก้ขององค์กรที่จะลิงค์กลับไปที่หน้าแรกขององค์กร, ชื่อของหน่วยงานที่จะลิงค์ไปที่หน้าแรกของหน่วยงาน, เมนูหลักของเว็บไซต์, และช่องสำหรับค้นหาข้อมูล
- Footer จะต้องประกอบไปด้วยข้อความสงวนลิขสิทธิ์ (Copyright) ในการนำข้อมูลในเว็บไซต์ไปใช้
- สำหรับเอกสารภาษาไทย การใช้เครื่องหมายวรรคตอนจะต้องเป็นไปตามข้อกำหนด
คำแนะนำ
หน่วยงานต่างๆ ควรจะมีรูปแบบของการนำเสนอ และการแสดงผลภาษาไทยดังต่อไปนี้
- ข้อมูลทุกส่วนของเว็บไซต์ ควรจะมีการนำเสนอทั้งหน้าเอกสารภาษาไทย และหน้าเอกสารภาษาอังกฤษ และควรจัดทำลิงค์สำหรับการเปลี่ยนระหว่างหน้าภาษาไทย และหน้าภาษาอังกฤษ และควรจัดวางตำแหน่งของลิงค์ไว้ในตำแหน่งที่สามารถเห็นได้ชัดเจน
- ในเอกสารภาษาอังกฤษ ในการแสดงตัวเลขที่มีค่าน้อยกว่า 20 ควรจะใช้คำในภาษาอังกฤษแทนตัวเลขนั้น เช่น I bought 5 pens for 20 baht. ควรเขียนเป็น I bought five pens for 20 baht. ตามหลักทั่วไปของการใช้ภาษาอังกฤษที่ดี
เอกสารแนบ 4 แนวปฏิบัติทางด้านเทคนิค
ข้อกำหนด
- เอกสารเว็บจะต้องมีการกำหนดชื่อของเอกสารหน้านั้น ไว้ในส่วนของแท็ก <title>…</title> โดยชื่อที่กำหนดขึ้นมาควรใช้ภาษาอังกฤษ และต่อท้ายด้วยภาษาไทยได้ และอธิบายถึงภาพรวมของเว็บไซต์นั้นๆ ให้ได้มากที่สุด เพราะชื่อของเอกสารที่กำหนดไว้นี้ จะส่งผลให้โปรแกรมเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูล (Search Engine) สามารถตรวจพบ และเก็บชื่อที่กำหนดให้กับเอกสาร เข้าไว้ในระบบฐานข้อมูล เพื่อใช้เป็นคีย์เวิร์ด สำหรับการค้นหาเว็บไซต์ต่อไป (ข้อความที่ระบุใน <title> นี้ไม่ควรยาวเกิน 64 ตัวอักษร)
- ไม่ควรใช้เทคนิคใดๆ ในการพิมพ์ เช่น เว้นวรรคระหว่างตัวอักษร หรือควบคุมด้วย Javascript
- กรณีที่พัฒนาเว็บด้วย CMS: Content Management System เช่น Joomla จะต้องกำหนด Title ของบทความและเว็บไซต์จากส่วนควบคุม CMS ด้วย
- เอกสารเว็บควรกำหนดคีย์เวิร์ดให้กับเอกสารนั้นๆ โดยการใช้แท็ก <meta name=“keywords” content=“คีย์เวิร์ดสำหรับโฮมเพจ”> ตัวอย่างเช่น <meta name=“keywords” content=“STKS, Science and Technology Knowledge Services, NSTDA, Library, ห้องสมุด, บริการทรัพยากรสารสนเทศ”> เป็นต้น ซึ่งคีย์เวิร์ดนี้จะเป็นข้อมูลอีกส่วนหนึ่งที่โปรแกรมเก็บข้อมูลของเว็บไซต์ค้นหาข้อมูล (Search Engine) บางชนิด เก็บไปทำเป็นคีย์เวิร์ด สำหรับการค้นหาเว็บไซต์ ดังนั้นถ้าต้องการให้เอกสารถูกตรวจพบโดยเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine หลายๆ ชนิด เราควรจะใส่ทั้งชื่อของเอกสาร และใส่คีย์เวิร์ดในแท็ก <meta name=“keywords” …>
- กรณีที่พัฒนาเว็บด้วย CMS จะต้องกำหนด Keyword ของบทความและเว็บไซต์จากส่วนควบคุม CMS ด้วย
- เอกสารเว็บทุกแฟ้มจะต้องกำหนดคำอธิบายเว็บอย่างย่อโดยการใช้แท็ก <meta name=“description” content=“คำอธิบายเว็บ”> เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับ Search Engine แสดงผลประกอบการสืบค้นเว็บไซต์ ทั้งนี้ไม่ควรยาวเกิน 250 ตัวอักษร
- กรณีที่พัฒนาเว็บด้วย CMS จะต้องกำหนดคำอธิบายเว็บของบทความและเว็บไซต์จากส่วนควบคุม CMS ด้วย
- เอกสารเว็บควรกำหนดชื่อหน่วยงานหรือผู้พัฒนาเว็บ โดยการใช้แท็ก <meta name=“author” content=“ชื่อหน่วยงาน/ผู้พัฒนาเว็บ”>
- เอกสาร HTML ทุกหน้าจะต้องมีการกำหนดชุดของตัวอักษร (Character Set) โดยจะต้องกำหนดเป็นชุด UTF-8 ซึ่งการกำหนดชุดของตัวอักษรในเอกสารแต่ละหน้านั้นจะใช้รูปแบบเป็น <meta http-equiv=“Content-Type” content=“text/html;charset=UTF-8”>
- การระบุ UTF-8 จะต้องระบุให้เหมือนกันทั้งเว็บ และต้องตรงกับระบบภาษาไทยของโปรแกรมจัดการฐานข้อมูล และ Web Programming
- ในเอกสารที่จะนำขึ้นเผยแพร่บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะต้องกำหนดชนิดของฟอนต์ที่ใช้ โดยการใช้แท็ก <font face=“ชื่อของฟอนต์”> โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีการใช้ข้อมูลที่เป็นภาษาไทย จะต้องกำหนดชื่อฟอนต์ที่มีอยู่ในเครื่อง Macintosh และ PC พร้อมทั้งระบุขนาดที่เหมาะสมด้วย
- ในหน้าภาษาไทยกำหนดเป็น <font face=” “Tahoma, MS Sans Serif, Thonburi”>…</font>
- ฟอนต์ Thonburi เป็นฟอนต์สำหรับเครื่อง Macintosh
- ในหน้าภาษาอังกฤษควรจะกำหนดเป็น <font face=“Arial, Helvetica”>…</font>
- ในการใช้แท็ก <font face=”…”>…</font> นั้น ให้ระบุไว้ที่ตอนต้นของเอกสารครั้งเดียว ไม่ต้องเขียนหลายรอบ เพราะจะเป็นการเพิ่มขนาดของไฟล์เอกสาร HTML โดยไม่จำเป็น ยกเว้นเมื่อมีการใช้แท็ก <table> เพื่อกำหนดการแสดงผลแบบตารางจะต้องมีการระบุ <font face=”…”> ไว้หลังแท็ก <td> ทุกแท็กของตารางนั้น
- สำหรับ CSS ให้ระบุด้วยคำสั่ง Font-Family: Tahoma, “MS Sans Serif”, Thonburi;
- ในกรณีที่มีการเปลี่ยนขนาดของฟอนต์ ไม่ต้องกำหนด <font face=”…”>…</font> ให้ใช้แท็ก <font size=”…”>…</font> ได้ทันที หรือใช้ CSS ในการควบคุม
- ในหน้าภาษาไทยกำหนดเป็น <font face=” “Tahoma, MS Sans Serif, Thonburi”>…</font>
- สำหรับการใช้งาน ข้อมูลประเภทรายการ หรือตารางในเอกสาร โดยการใช้แท็ก <ol>, <ul>, <dl> และ <table> ไม่ควรใช้ซ้อนกันเกินสองระดับ เพราะอาจเป็นผลทำให้ เอกสารนั้นกว้างเกินหน้าจอ ทำให้เกิดสกรอลล์บาร์ทางด้านล่าง ของโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ ต้องทำการเลื่อนดูข้อมูล ที่ขาดหายไป และยังทำให้การพิมพ์เอกสารหน้านั้นออกมาทางเครื่องพิมพ์ ข้อความบางส่วนจะขาดหายไป (ส่วนที่เกินหน้าจอ)
- ในการเขียน HTML นั้น ควรจะเขียนโค้ดให้เป็นระเบียบ และมีคอมเมนต์อธิบายไว้เป็นระยะ โดยความยาวของ HTML ในแต่ละบรรทัด ไม่ควรเกิน 80-90 ตัวอักษร เพื่อให้สามารถอ่านข้อมูล และปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย นอกจากนั้นการตัดคำภาษาไทยของเอกสารหน้านั้นๆ ยังสามารถทำได้อย่างถูกต้องอีกด้วย
- การนำภาพมาประกอบในเอกสาร โดยการใช้แท็ก <img …> นั้น จะต้องกำหนดความกว้าง และความสูงที่ถูกต้องของภาพนั้นไว้ด้วยเสมอ เพราะจะทำให้การจัดโครงร่างของเอกสาร ทำได้อย่างรวดเร็ว และที่สำคัญจะต้องกำหนดแอทริบิวต์ alt และ title ไว้ภายในแท็ก <img scr=“ชื่อไฟล์ภาพ” width=“ความกว้างเป็นพิกเซล” height=“ความสูงเป็นพิกเซล” alt=“คำอธิบายภาพ” title=“คำอธิบายภาพ”> เพื่อแสดงข้อความอธิบายสำหรับเว็บเบราว์เซอร์บางชนิด ที่ไม่สามารถแสดงข้อมูลที่เป็นรูปภาพได้ และเป็นข้อมูลสำหรับการสืบค้นของ Search Engine
- กรณีที่ใช้ CMS สามารถกำหนดค่าความกว้าง ความสูง และคำอธิบายภาพได้จากระบบ
- การนำรูปภาพมาประกอบในเอกสาร HTML นั้น ถ้ารอบๆ ตำแหน่งที่วางรูปภาพมีตัวอักษร ควรจะกำหนดระยะห่างจากขอบของรูปทุกด้าน โดยการใช้แอทริบิวต์ vspace=“ระยะห่างเป็นพิกเซล” hspace=“ระยะห่างเป็นพิกเซล” และถ้ารูปนั้นเป็นตัวเชื่อมโยงไปยังเอกสารอื่น ไม่ควรกำหนดความกว้างของกรอบ คือ ความกว้างเท่ากับศูนย์ โดยใช้แอทริบิวต์ border=“0” เช่น <img alt=”VIDEO” src=”http://www.stks.or.th/graphics/video-56.gif” width= “56” height= “20” border=”0″ hspace=”3″ vspace=”3″>
- กรณีที่ใช้ CMS สามารถกำหนดค่าความกว้าง ความสูง และคำอธิบายภาพได้จากระบบ
- ในการตั้งชื่อแฟ้มข้อมูลและชื่อไดเร็กทอรี่ ที่ใช้ในการเก็บข้อมูล จะต้องใช้ชื่อภาษาอังกฤษที่ไม่ยาวเกินไปและสื่อความหมาย โดยชื่อประกอบด้วยตัวอักษรตัวเล็ก ไม่มีการเว้นวรรคระหว่างชื่อ และนามสกุลของไฟล์เอกสาร HTML จะต้องเป็น .html หรือ.htm (หรืออื่นๆ ตามระบบที่ดำเนินการ) และแฟ้มข้อมูลแรกที่ต้องการให้ผู้เข้าชมเห็นควรจะตั้งชื่อเป็น “index” ในทุกๆ ไดเร็กทอรี่จะต้องมีไฟล์ชื่อนี้อยู่ด้วย เพื่อไม่ให้ผู้ใช้เห็นแฟ้มข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในไดเร็กทอรี่นั้น เช่น ในไดเร็กทอรี่ที่เก็บภาพควรจะสร้างไฟล์เปล่าๆ แล้วบันทึกไว้ในชื่อ “index” เพื่อไม่ให้ผู้เข้าชมมองเห็นรายชื่อของไฟล์ทั้งหมด ที่อยู่ในไดเร็กทอรี่นั้น เป็นต้น
- ผู้เข้าชมเว็บไซต์ควรได้รับแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานโปรแกรมปลั๊กอิน (Plug-ins) พร้อมทั้งควรมีจุดเชื่อม (Link) ให้สามารถดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมนั้นๆ ได้โดยสะดวก
- ห้ามคัดลอก (Copy) เอกสารจากเว็บใดๆ หรือเอกสารต้นฉบับเช่น Microsoft Office, OpenOffice.org มาวางบน WYSIWYG Editor เนื่องจากจะติด Special Code ของโปรแกรมนั้นๆ มาด้วย ส่งผลให้การแสดงผลเอกสารไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งหมด ควรจะนำไปวาง (Paste) บน NotePad หรือ Text Editor ใดๆ ก่อนแล้วจึงคัดลอกมาวางบน WYSIWYG Editor อีกครั้ง หรือใช้บริการ HTML Cleaner
- เว็บไซต์จะต้องติดซอฟต์แวร์วิเคราะห์การเข้าชม เช่น Truehits, Google Analytic
- ตรวจสอบไฟล์ robots.txt ว่าเปิดให้ search engine ต่างๆ เข้ามาเก็บข้อมูลเพื่อไปทำ index ของตัวเองได้ ถือเป็นตัวสำคัญที่จะกำหนดให้ bot เข้ามาเก็บข้อมูลต่างๆ ในเว็บไซต์เรา สำหรับผู้ที่ใช้ CMS จะมีวิธีตั้งค่าแตกต่างกันไป
- จัดทำ XML sitemap ของเว็บไซต์เพื่อให้ search engine เข้ามาสำรวจข้อมูลเว็บให้ครบถ้วน จะมีการจัดทำ sitemap แตกต่างกันไป
- ทำการเพิ่มเว็บไซต์ของเราให้ search engine รู้จัก เช่น ใช้บริการ Google Search Console เพื่อแนะนำเว็บไซต์เราให้ google รู้จัก และสามารถส่ง XML sitemap เพื่อชี้ path ให้เข้ามาสำรวจได้ง่ายขึ้น ความสามารถของ Google Search Console ยังมีอีกหลายอย่าง เช่น แจ้งหน้าเว็บที่แก้ไขข้อมูลใหม่ให้ google เข้ามาเก็บข้อมูลใหม่ได้ และสามารถตรวจสอบข้อบกพร่องของทั้งเว็บไซต์ได้ด้วย
- ศึกษาวิธีการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่งเป็นพื้นฐานและข้อควรทำในการทำเว็บไซต์ที่ดี กลยุทธ์ 3 รู้สู่ SEO การทำเว็บตามกำหนด SEO จะทำให้ search engine จัดอันดับเว็บไซต์ของเราให้อยู่อันดับที่สูง ทำให้คนที่ search ข้อมูลเจอเว็บไซต์เราง่ายขึ้น
คำแนะนำ
- ในระหว่างการพัฒนาโฮมเพจ ควรจะมีการทดสอบการแสดงผล โดยการใช้โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์หลายๆ ชนิด เช่น
- โปรแกรม Mozilla Firefox บน PC
- โปรแกรม Internet Explorer บน PC
- โปรแกรม Mozilla Firefox บน Macintosh
- โปรแกรม Internet Explorer บน Macintosh
- โปรแกรม Safari บน Macintosh
- ทุกเว็บเบราว์เซอร์ใหม่ๆ ที่สามารถทดสอบได้
- ในการทดสอบการแสดงผล ควรทดสอบที่ความละเอียดของหน้าจออย่างต่ำ 800 x 600 จุด และแนะนำให้ใช้ความละเอียดของหน้าจอ 1024 x 768 จุด เพื่อความเหมาะสมและสวยงามที่สุด
- ควรทดสอบระยะเวลาที่ใช้ในการดูเว็บเพจ โดยทดสอบด้วยการใช้โมเด็มความเร็ว 56 kbps ซึ่งเว็บเพจที่พัฒนาขึ้นควรจะเริ่มแสดงผลข้อมูลไม่เกิน 10 วินาทีหลังจากได้รับการร้องขอ (Request) และแสดงผลได้สมบูรณ์ไม่เกิน 30 วินาที เนื่องจากผู้เข้าชมเว็บเพจที่พัฒนาขึ้น อาจจะมาจากต่างสถานที่กัน ใช้โมเด็มความเร็วต่างกัน ผู้พัฒนาควรทดสอบการเข้าชมเว็บเพจ จากโมเด็มที่มีความเร็วที่ครอบคลุมถึงผู้ใช้ส่วนใหญ่
- การตั้งชื่อที่อยู่ของอีเมลของหน่วยงาน ให้ตั้งชื่อเป็นกลาง “webmaster@หน่วยงาน/บริการ.stks.or.th” หรือ “webmaster-หน่วยงาน@stks.or.th” โดยเสนอให้จัดแสดงที่อยู่ของอีเมลในลักษณะภาพกราฟิก(Image) เพื่อป้องกันการเก็บรวบรวมอีเมลโดยอัตโนมัติเพื่อการส่งอีเมลขยะ